- สารเคมีที่มีการไหล/มีความต่อเนื่อง
- การเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน
- ปฏิกิริยาการสังเคราะห์
- การตกผลึก
- การเร่งปฏิกิริยา
- ปฏิกิริยาแรงดันสูง
- การเกิดปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชัน
- ไฮโดรฟอร์มิลเลชัน
- ปฏิกิริยากรีญาร์
- การทำฮาโลเจน
- การเร่งปฏิกิริยาด้วยตัวเร่งชีวภาพ/เอนไซม์
- การเร่งปฏิกิริยาเคมีอินทรีย์
- การสังเคราะห์สาร Oligonucleotide
- กระบวนการทางชีวภาพขั้นปลาย
การวิเคราะห์ปฏิกิริยาแบบ In situ รุ่น ReactIR
ทำความเข้าใจจลนศาสตร์ กลไก และวิถีของปฏิกิริยาเพื่อเลือกตัวแปรของปฏิกิริยาที่เหมาะสมที่สุด
สเปกโตรมิเตอร์ FTIR รุ่น ReactIR™ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบแนวโน้มของปฏิกิริยาและข้อมูลแบบ In situ ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะให้ข้อมูลที่มีความจำเพาะสูงเกี่ยวกับจลนศาสตร์ กลไก วิถี และอิทธิพลของตัวแปรของปฏิกิริยาต่อสมรรถนะ
ติดตามตัวทำปฏิกิริยา สารทำปฏิกิริยา สารมัธยันตร์ ผลิตภัณฑ์ และสารพลอยได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลาการเกิดปฏิกิริยาได้โดยใช้ ReactIR ReactIR จะให้ข้อมูลที่สำคัญแก่นักวิทยาศาสตร์ในระหว่างการทำการวิจัย พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพของสารประกอบทางเคมี เส้นทางการสังเคราะห์ และกระบวนการทางเคมี
อุปกรณ์สเปกโตรสโคปี FTIR แบบ In situ เพื่อการพัฒนากระบวนการที่เสถียร ขยายปริมาณได้ และสม่ำเสมอ
ReactIR 701L
ไนโตรเจนเหลว MCT
เครื่องตรวจจับความไวสูงที่มีเวลาทำงานมากกว่า 24 ชั่วโมงสำหรับรูปแบบการใช้งานที่ทนทาน อ่านเพิ่มเติม
ReactIR 702L
MCT ที่ให้ความเย็นด้วยระบบ TE
การให้ความเย็นแก่เครื่องตรวจจับโดยใช้ของแข็งจะให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว อ่านเพิ่มเติม
ReactIR 45P
กระบวนการ FTIR
ถ่ายทอดความเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาไปยังขอบเขตการทำงานต่างๆ จากห้องปฏิบัติการสู่พื้นที่โรงงานส่วนต่างๆ อ่านเพิ่มเติม
ลดความซับซ้อนของการวิเคราะห์ปฏิกิริยา
หากต้องการทำความเข้าใจในปฏิกิริยาทางเคมี นักเคมีต้องสามารถตอบคำถามต่อไปนี้
- ปฏิกิริยาเริ่มต้นเมื่อใด? ปฏิกิริยาสิ้นสุดลงเมื่อใด?
- จลนศาสตร์และกลไกของปฏิกิริยาคืออะไร?
- สารมัธยันตร์แบบชั่วคราวเหล่านั้นมีผลกระทบอย่างไร?
- มีการตอบสนองตามที่คาดไว้หรือไม่? มีผลิตภัณฑ์พลอยได้เกิดขึ้นหรือไม่ และเพราะเหตุใด?
- จะเกิดอะไรขึ้นหากอุณหภูมิของปฏิกิริยา อัตราการจ่ายสาร และอัตราการผสมเปลี่ยนไป?
คำถามเหล่านี้คือประเด็นสำคัญ 5 ประการที่จะเสริมการทำงานของสเปกโตรมิเตอร์ FTIR รุ่น ReactIR และทำให้นักเคมีทุกคนสามารถเข้าใจปฏิกิริยาได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุดและวิเคราะห์ปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็ว
หัววัดแบบ In situ หลากหลายประเภท
หัววัดได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาวะที่หลากหลายเพื่อให้สามารถวิเคราะห์สารเคมีได้แทบทุกประเภท รวมถึงการทำงานในสภาวะดังนี้
- สภาวะอุณหภูมิต่ำถึงสูง
- สภาวะแรงดันต่ำถึงสูง
- ภายใต้สภาวะที่เป็นกรด ด่าง กัดกร่อน ออกซิไดซ์ และในน้ำ
เทคโนโลยีการเก็บตัวอย่างโดยใช้หัวเก็บตัวอย่างและใช้การไหลช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสารเคมีของเฟสของเหลวในการตั้งค่าแบบ Batch หรือต่อเนื่อง
สมรรถนะยอดเยี่ยมที่สุดของเครื่องระดับเดียวกัน
ReactIR เหมาะสมสำหรับการใช้งานในย่าน "ลายนิ้วมือ" อินฟราเรดช่วงกลางตั้งแต่หัววัด เครื่องตรวจจับ ไปจนถึงซอฟต์แวร์ ส่งผลให้ระบบมีความไวสูงเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงโมเลกุลที่รวดเร็วและถูกต้อง
ReactIR จะติดตามความเข้มข้นของสารประกอบของปฏิกิริยาที่สำคัญโดยตรงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างการเกิดปฏิกิริยานั้น
สเปกโตรสโคปี FTIR อเนกประสงค์
โซลูชันจากห้องปฏิบัติการสู่โรงงาน
ขนาดกะทัดรัด ติดตั้งในฝาปิดกันควันได้ เป็นไปตามมาตรฐาน ATEX สำหรับติดตั้งในโรงงาน และมีเทคโนโลยีการเก็บตัวอย่างเพื่อเก็บตัวอย่างจากปฏิกิริยาหรือกระบวนการใดๆ คุณสามารถใช้ ReactIR เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงงานตรงกับสิ่งที่คุณสังเกตเห็นในห้องปฏิบัติการ
One Click Analytics™
ซอฟต์แวร์ iC IR ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ปฏิกิริยา Time-Resolved โดยเฉพาะ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างอัลกอริทึมเก็บจุดสูงสุดของข้อมูลกับความสามารถในการเรียนรู้หมู่ฟังก์ชันเพื่อลดเวลาในการวิเคราะห์ลงอย่างมาก อ่านเพิ่มเติม
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ปฏิกิริยา
METTLER TOLEDO เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการวิเคราะห์ปฏิกิริยาโดยเฉพาะมากว่า 30 ปี และนี่คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นและหลงใหล เราสร้างสเปกโตรมิเตอร์ FTIR ที่ตรงตามวัตถุประสงค์ด้วยความเชี่ยวชาญที่เรามี
ReactIR ทำงานได้กับสารเคมีหลายประเภท ค้นหาว่านักวิทยาศาสตร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปฏิกิริยาและกระบวนการในรูปแบบการใช้งานเหล่านี้อย่างไร
เหตุใดจึงเลือก ReactIR มากกว่าการวิเคราะห์แบบออฟไลน์?
แต่เดิมจะมีการเก็บตัวอย่างเพื่อการวิเคราะห์แบบออฟไลน์โดยใช้ HPLC เพื่อให้ได้ข้อมูลการเกิดปฏิกิริยา แต่กระบวนการนี้จะไม่ง่ายเลยสำหรับสารเคมีที่เป็นพิษหรือเป็นอันตราย หรือในกรณีที่การกำจัดตัวอย่างส่งผลให้สูญเสียข้อมูลสำคัญบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการนี้ยังต้องอาศัยนักเคมีมาทำหน้าที่เก็บตัวอย่าง และต้องรอให้รวบรวมผลลัพธ์ครบทั้งหมดก่อนที่จะเริ่มการวิเคราะห์ปฏิกิริยาได้
ปัญหาเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบที่ตามมา ได้แก่
- ตัวอย่างอาจไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนได้
- การทำลายสารมัธยันตร์ก่อให้เกิดการสมมติฐานทางวิถีปฏิกิริยาที่ไม่ถูกต้อง
- ความเข้าใจในระบบที่ไวต่ออากาศ เป็นพิษ ระเบิดได้ หรือมีแรงดัน
- เวลาในการพัฒนานานขึ้นเนื่องจากข้อมูลมีความผิดพลาดเพราะปฏิกิริยาเกิดการเปลี่ยนแปลง
- อาจพลาดเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ
ReactIR บรรเทาปัญหาเหล่านี้และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเกตสารมัธยันตร์ที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่รบกวนปฏิกิริยา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสเปกโตรมิเตอร์ FTIR
ระหว่าง FTIR กับรามาน อะไรเหมาะสำหรับการใช้งานของฉันมากกว่า?
สเปกโตรสโคปีรามานและ FTIR ให้ข้อมูลเชิงโมเลกุลเกี่ยวกับโครงสร้างและองค์ประกอบของตัวอย่างทางเคมีและชีวภาพ เนื่องจากเทคโนโลยีทั้งสองมีหลักการพื้นฐานในการควบคุมเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ทั้งสองจึงสามารถให้ข้อมูลเสริมกันได้ อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่เทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของรูปแบบการใช้งาน
สเปกโตรมิเตอร์ FTIR ใช้สำหรับอะไร?
สเปกโตรสโคปีแบบ Fourier Transform Infrared (FTIR) ใช้ในห้องปฏิบัติการทั้งทางอุตสาหกรรมและทางวิชาการ เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างโมเลกุลของวัสดุ ตลอดจนจลนศาสตร์ กลไก และวิถีในปฏิกิริยาทางเคมีและวงจรแคตตาไลติกได้ดียิ่งขึ้น สเปกโตรสโคปี FTIR ช่วยในการทำความเข้าใจโครงสร้างของแต่ละโมเลกุลและองค์ประกอบของสารผสมโมเลกุล สเปกโตรสโคปี FTIR มีการใช้งานและความสามารถในการนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการวิเคราะห์โมเลกุลที่สำคัญในอุตสาหกรรมยา เคมี และโพลิเมอร์
สเปกโทรสโคปี FTIR คืออะไร?
Fourier Transform Infrared (FTIR) เป็นสเปกโตรสโคปีอินฟราเรด (IR) ชนิดหนึ่งที่มีมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว โดยเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบตัวอย่างที่มีองค์ประกอบที่ไม่รู้จัก FTIR เป็นเทคนิคสเปกโตรสโคปีแบบออพติคัลที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายโดยนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันการศึกษา ภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม สเปกโตรสโคปีอินฟราเรดใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าพันธะระหว่างอะตอมกับอะตอมจะสั่นที่ความถี่เฉพาะ
เมื่อพลังงานที่ประกอบด้วยหลายความถี่ (เช่น พลังงานจากแหล่งกำเนิดอินฟราเรด) เข้าสู่การสั่นสะเทือนของโมเลกุลเหล่านี้ การดูดกลืนพลังงานอินฟราเรดจะเกิดขึ้นที่ความถี่การสั่นสะเทือนระดับโมเลกุลเดียวกัน เมื่อวาดกราฟความเข้มของการดูดกลืนแสงตามช่วงความถี่ต่างๆ ขึ้นมา ก็จะได้ผลลัพธ์ของสเปกตรัมอินฟราเรด นอกจากนี้ พันธะประเภทต่างๆ (เช่น พันธะคู่ พันธะสาม) และอะตอมที่ต่างกัน (เช่น C–O, C–H, C–N เป็นต้น) ต่างก็มีความถี่ในการสั่นสะเทือนจำเพาะ
ความจำเพาะของความถี่ในการสั่นสะเทือนเหล่านี้อาจเปรียบได้เป็นลายนิ้วมือของพันธะระหว่างอะตอมกับอะตอมที่ก่อให้เกิดเป็นโมเลกุลที่กำหนด ลายนิ้วมือนี้ทำให้สามารถระบุโมเลกุลหรือสารประกอบในส่วนผสมได้ และยังตรวจจับการสร้างและการแยกตัวของพันธะเคมีที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาได้อีกด้วย
IR และ FTIR แตกต่างกันอย่างไร?
FTIR (Fourier Transform Infrared) เป็นสเปกโตรสโคปี IR (อินฟราเรด) ชนิดหนึ่งที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบการสั่นสะเทือนของโมเลกุลได้ โดยปกติแล้ว สเปกโตรสโคปีอินฟราเรดเป็นเทคนิคการกระจาย โดยจะอาศัยเทคโนโลยีอย่างเช่น โมโนโครเมเตอร์ เพื่อสแกนข้ามความยาวคลื่นของสเปกตรัมอินฟราเรด FTIR ทำให้ความยาวคลื่นของแสงทั้งหมดได้รับการวัดค่าพร้อมกันโดยใช้อินเตอร์เฟียโรมิเตอร์ จากนั้นจะได้สเปกตรัมอินฟราเรดผ่านการแปลงทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า การแปลงฟูเรียร์ เนื่องจากความยาวคลื่นทั้งหมดได้รับการวัดค่าพร้อมกัน FTIR จึงสามารถรวบรวมสเปกตรัมได้เร็วกว่าเทคนิคการสแกนมาก
แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสเปกโตรมิเตอร์ FTIR
สเปกโตรมิเตอร์ FTIR ในวารสารตีพิมพ์
การวัดค่าอย่างต่อเนื่องจากสเปกโตรสโคปีอินฟราเรดใช้สำหรับรับโปรไฟล์ของปฏิกิริยาเพื่อคำนวณหาอัตราการเกิดปฏิกิริยา รายชื่อบทความตีพิมพ์จากวารสารวิชาการต่างๆ มุ่งประเด็นไปที่การใช้งานอย่างสร้างสรรค์และน่าทึ่งของ สเปกโตรสโคปี FTIR นักวิจัยในแวดวงวิชาการและอุตสาหกรรมใช้สเปกโตรมิเตอร์ mid-FTIR แบบ In situ เพื่อให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและข้อมูลการทดลองที่ครบถ้วนซึ่งจะช่วยพัฒนาความก้าวหน้าในงานวิจัยของพวกเขา
- Liu, J., Sato, Y., Yang, F., Kukor, AJ, และ Hein, JE (2022) An Adaptive Auto‐Synthesizer using Online PAT Feedback to Flexibly Perform a Multistep Reaction. Chemistry–Methods, 2(8). doi.org/10.1002/cmtd.202200009
- Malig, T. C., Kumar, A., & Kurita, K. L. (2022). Online and In Situ Monitoring of the Exchange, Transmetalation, and Cross-Coupling of a Negishi Reaction. Organic Process Research & Development, 26(5), 1514–1519. doi: org/10.1021/acs.oprd.2c00081
- Naserifar, S., Kuijpers, P. F., Wojno, S., Kádár, R., Bernin, D., & Hasani, M. (2022). In situ monitoring of cellulose etherification in solution: probing the impact of solvent composition on the synthesis of 3-allyloxy-2-hydroxypropyl-cellulose in aqueous hydroxide systems. Polymer Chemistry, 13(28), 4111–4123. doi.org/10.1039/d2py00231k
- Talicska, C. N., O’Connell, E. C., Ward, H. W., Diaz, A. R., Hardink, M. A., Foley, D. A., Connolly, D., Girard, K. P., & Ljubicic, T. (2022). Process analytical technology (PAT): applications to flow processes for active pharmaceutical ingredient (API) development. Reaction Chemistry & Engineering, 7(6), 1419–1428. doi.org/10.1039/d2re00004k
- Wei, B., Sharland, J. C., Blackmond, D. G., Musaev, D. G., & Davies, H. M. L. (2022). In Situ Kinetic Studies of Rh(II)-Catalyzed C–H Functionalization to Achieve High Catalyst Turnover Numbers. ACS Catalysis, 12(21), 13400–13410. doi.org/10.1021/acscatal.2c04115
- Foth, P. J., Malig, T. C., Yu, H., Bolduc, T. G., Hein, J. E., & Sammis, G. M. (2020). Halide-Accelerated Acyl Fluoride Formation Using Sulfuryl Fluoride. Organic Letters, 22(16), 6682–6686. doi.org/10.1021/acs.orglett.0c02566
- Hu, C., Shores, B. T., Derech, R. A., Testa, C. J., Hermant, P., Wu, W., Shvedova, K., Ramnath, A., Al Ismaili, L. Q., Su, Q., Sayin, R., Born, S. C., Takizawa, B., O’Connor, T. F., Yang, X., Ramanujam, S., & Mascia, S. (2020). Continuous reactive crystallization of an API in PFR-CSTR cascade with in-line PATs. Reaction Chemistry & Engineering, 5(10), 1950–1962. doi.org/10.1039/d0re00216j